โครงการหลวง ป่าสนวัดจันทร์

โครงการหลวง ป่าสนวัดจันทร์
โครงการหลวงป่าสนวัดจันทร์

31/1/54

ยายยิ้ม


ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ
อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด

เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน
ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก
ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับรถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ
ยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ยายไม่กลับ
ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะรวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม
ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
"แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย
เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก
พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หา
เลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง
หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน"


ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา
แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้
ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธาร
หล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้
และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก

กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าว
ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้
ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้


ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน
ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย
เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ
พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่มชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝาย
เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน
ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล
บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว
จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเล่นเอาเหงื่อตก
แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก
ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม
จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้
รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด
ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที
ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง
และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความสุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ
เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์

พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน
เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย

พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย
พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ
ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร : เวลายาไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่

พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์

จาก
ladawan_yoon@hotmail.com(ลัดดาวัลข์ อุดมธนวงศ์)

29/1/54

เพื่อน มนัส อินศรีชื่นป่วย‏



เพื่อนร่วมรุ่นของเรา คุณมนัส อินศรีชื่น ป่วย ด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก
เมื่อคืนวันที่ 27 มกราคม 2553 เวลา 02.00 น. ปัจจุบันนอนพักรักษาตัวที่ โรงพยาบาลพุทธชินราช ห้อง ICU
อาคารรังสี และผ่าตัด ชั้น 4 อาการล่าสุดที่ผมได้ไปเยี่ยม(29 มค.) ปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้ว
จากการสอบถามภรรยา หมอแจ้งว่าอาจจะนอนรักษาตัวที่ห้อง ICU อักสัก2-3 วัน หลัง
จากนั้นก็อาจจะได้ย้ายไปห้องพิเศษ เพื่อทำการรักษาและทำกายภาพบำบัด ต่อไป
สำหรับห้อง ICU กำหนดตารางเวลาเยี่ยม
07.00-08.00 น.
12.00-13.00 น.
15.00-16.00 น.
18.00-19.00น.
รายงานโดย
มนตรี ศรีภิรมย์
สำหรับรูปคุณมนัส จะอยู่ตรงกลาง ใส่เสื้อลาย

27/1/54

คาถาของคนอยู่ในสังคม‏

กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา
เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย
จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย

คำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่าไปนึกว่า ' คนอื่น ' เหนือ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย
อย่าไปนึกว่า ' คนอื่น ' ต่ำ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ
อย่าไปนึกว่า ' คนอื่น ' เสมอ เท่าเรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น
จงนึกเสมอว่า ' คนอื่นทุกคน ' เป็นเพื่อนรวมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด

การบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้
1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ' กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก ' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ' จิตประภัสสร ' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข '

> 2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
' แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน '
คนเราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ' เจ้ากรรมนายเวร ' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ' ไฟสุมขอน ' ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ' แผ่เมตตา ' หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล ่อยให้ลอยไป


> 3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ' ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น '
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน '
' อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี ' สติ ' กำกับตลอดเวลา


> 4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
' ตัณหา ' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ ' ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม '
ทุกอย่างต้องดู ' คุณค่าที่แท้จริง ' ไม่ใช่ คุณค่าเทียม < /FONT> เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า ' เิกิดมาทำไม ' คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอ
คำว่า ' พอดี ' คือ ถ้า ' พอ ' แล้วจะ ' ดี ' รู้จัก ' พอ ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข '
(w_pongpan@hotmail.com

22/1/54

มาแก้เครียดกันดีกว่า

บักหม่อง !?

.. ทำไม บักหม่อง ถึงพาเพื่อน..แห่กันไปเที่ยวผับ.. ทีละ18 คน...

ก็เพราะหน้าผับ....... เขาประกาศไว้ว่า...........

ต่ำกว่า 18 ห้ามเข้าน่ะสิ(!!)

------------

* บักหม่อง..ไปร้านขายทีวี..! ถามคนขายว่า

' ไม่ทราบว่า..ที่นี่มีทีวีสีขายรึเปล่า?

คนขายตอบว่า..' มี'

บักหม่องเลยบอกว่า................

' งั้นเอาสีเขียวมาเครื่องนึง'

------------

บักหม่อง..เข้าไปเดินดูของในร้านจีฉ่อย

เห็นกระติกน้ำทำจากโลหะอันหนึ่งวางอยู่

บักหม่องถามอาอึ้มว่า

' อึ้ม..** ที่วอบแวบสีเงินๆ นั่นอะไร'

อึ้มตอบว่า' กระติกน้ำไง................(** ฟาย)'

' แล้วมันทำอะไรได้มั่ง'

' ก็ใส่ของร้อน-ก็ร้อนนาน................ ใส่ของเย็น-ก็เย็นนาน'.

บักหม่อง..เห็นว่าน่าสนใจ...................เลยตกลงซื้อมาอันนึง

เช้าของวันใหม่..อากาศแจ่มใส

บักหม่อง..ก็เอากระติกน้ำที่เพิ่งซื้อมา..ไปที่ทำงาน..

ตั้งอวดบนโต๊ะ..อย่างภาคภูมิ

หัวหน้าบักหม่องเห็นเข้า...................เลยถามขึ้น

' อะไรนั่นน่ะ..บักหม่อง'

' กระติกน้ำครับ'

' แล้วมันมีอะไรพิเศษรึ'

' ก็ใส่ของร้อน..เก็บความร้อนได้

หรือใส่ของเย็น..ก็เก็บความเย็นได้'

หัวหน้าเลยถามว่า..

' แล้วใส่อะไรมาล่ะ'

บักหม่องยืด..ก่อนจะตอบว่า..

' กาแฟร้อน2 แก้ว.. กับไอติม1 ถ้วยครับ'

--------------

ทุกครั้ง..หลังถ่ายเอกสารเสร็จ

บักหม่อง..จะเอาฉบับก๊อปปี้-มาตรวจทาน..เทียบกับต้นฉบับ

เพื่อเช็คดูว่า..มีคำไหนสะกดผิดรึเปล่า

--------------

บักหม่อง..จะยิ้มทุกครั้ง...................ที่ฟ้าผ่า

เพราะนึกว่า..มีคนกำลังถ่ายรูปเขาอยู่

-------------

รู้ป่าวว่า...ทำไมบักหม่อง................ถึงกดโทรศัพท์เบอร์ฉุกเฉิน911).. ไม่ได้

ก็เพราะ........เขาหาเบอร์ 11 ( สิบเอ็ด).................. บนแป้นไม่เจอ

-----------------

บักหม่อง..เพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่เครื่องหนึ่ง

เล่นไปซักพัก..ก็เจอปัญหา

บักหม่อง..เลยลองกดที่HELP บนแป้นF1

ผ่านไปพักใหญ่... บักหม่องหงุดหงิดมาก

เลยโทรไปต่อว่า..ร้านที่เขาซื้อคอมมา

' ผมกดF1 ตามที่เครื่องบอก.. เวลาที่มีปัญหา

แล้วก็รออยู่เป็นชั่วโมง.. ยังไม่เห็นมีใครมาช่วย เลย'

คนขาย :'(**...)' (!!)

วันรุ่งขึ้น

บักหม่อง : เครื่องคอมพิวเตอร์ คุณนี่ห่วยมากอีกแล้วน่ะ

ผมเสียเงินซื้อไปตั้งเยอะมีแต่ปัญหาไม่รู้จบ

หน่ำซ้ำ

พอโทรมาสอบถามพนักงานงานขายของคุณ ก็ดันตอบไม่รู้เรื่อง

ผู้จัดการ : มีปัญหาอะไรให้ดิฉันรับใช้ได้ค่ะ

( เสียงสั่นเครือมากด้วยอาการที่หวาดกลัวจะถูกลูกค้าด่ากลับ)

บักหม่อง : ก็หน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณน่ะ

รายงานผลว่า'

ซีตุ๊ป -ซีตุ๊ป'

ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง

ผู้จัดการ: บอกว่าเธอก็ไม่รู้ว่า ไอ้ซีตุ๊ป-ซีตุ๊ปเนี่ยมันคืออะไร

ช่วงนั้นก็น้ำตาเกือบไหล เพราะกะว่าถ้าตอบปัญหาลูกค้าไม่ได้

ต้องถูกไล่ออกแน่เลยตู

จนกระทั่ง.....

ผู้จัดการ : คุณลองสะกดคำว่า' ซีตุ๊ป - ซีตุ๊ป' หน่อยสิคะ

ว่าสะกดอย่างไร

บักหม่อง :S - E - T - U - P - S - E - T - U - P

ผู้จัดการ :คุณนี่ สุดยอด จริง ๆอ่านได้งัย ซีตุ๊ป– ซีตุ๊ป

-------------

บักหม่อง..ไปหาหมอ...ในสภาพหูบวมแดงน่ากลัว

หมอถามว่า....' ไปโดนอะไรมาครับ'

บักหม่องตอบว่า..' ผมกำลังรีดผ้าอยู่.. แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

แต่แทนที่จะหยิบโทรศัพท์มาพูด

ผมดันเผลอ..เอาเตารีดขึ้นมาแนบหูน่ะสิ'

' โอ้ว..เดียร์'

หมออุทานเป็นภาษาฝรั่ง................ด้วยความเวทนา

' แล้วหูอีกข้าง..ทำไมถึงแดงเหมือนกันล่ะ'

.. หมอถามต่อ

' ก็**บ้านั่น...เสือ_ โทร.กลับมาอีกรอบ..อ่ะดิหมอ'

---------------

* หลังจาก...ใช้ความพยายาม................ต่อจิ๊กซอว์อยู่นาน

ในที่สุด..บักหม่องก็ต่อเสร็จ

เขาเอาไปอวดเพื่อน..ด้วยความภูมิใจ

' เป็นไง............... เนี่ยฉันใช้เวลาต่อ..แค่5

เดือนเองนะโว้ย'

เพื่อนบักหม่องงง..ที่เขากล้าอวด

' 5 เดือนเหรอ ! แถวบ้านฉันเรียกว่า..!

โคตรนานเลยนะนั่น'

' แกนี่ไม่รู้อะไร'

บักหม่อง..ไม่ยอมลดละ

' ดูที่กล่องนี่............... เห็นมั้ย................ มันบอกว่า...

' สำหรับ4-7 ปี'

แต่..ฉันใช้เวลาแค่5 เดือนเองนะเฟ้ย..(!!)

20/1/54

ดญ.คำหล้า...ทุบกระท้อนเก่งมาก

ณ โรงเรียนชนบทที่อยู่ใกล้ สวนมะพร้าว และสวนกระท้อน
ครูนิดเป็นคนชอบทานระท้อนมาก ๆ
และด.ญ.คำหล้าเป็นเด็กที่ทุบกระท้อนเก่งมาก
จนครูนิดต้องให้ทุบกระท้อนให้ทานทก ๆ วัน
แล้ววันหนึ่งครูนิดก็พูดเหมือนเดิมว่า

ครูนิด - ด.ญ.คำหล้าวันนี้ช่วยทุบกระท้อน ให้ครูสัก 3 ลูกนะ

ด.ญ.คำหล้า - วันนี้ครูนิดให้หนูทำอย่างอื่นแทนได้ไหมค่ะ

ครูนิด - ทำไมล่ะ เธอทุบกระท้อนหนาวอร่อยดีครูชอบ

ด.ญ.คำหล้า - หนูก็อยากทำให้ครูนะคะ แต่วันนี้ตอนมาโรงเรียนหนูเดินไม่ทันระวังแก้วมันบาดส้นเท้าหนูค่ะ

ครูนิด - !!!!!!!!!!!!!!!!??????????

ถ่ายนู๊ดครั้งแรก‏

หนุ่มสาวคู่หนึ่งใช้เวลาด้วยกันเป็นคืนแรก หลังผ่านพิธีแต่งงานมาหมาดๆ ฝ่ายเจ้าสาวเข้าไปอาบน้ำก่อน และออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดคลุม สามีจอมโอ่ ก็เอ่ยปาก

“ที่รัก ตอนนี้เราก็แต่งงานกันแล้ว คุณถอดเสื้อคลุมให้ผมดูหน่อยน่ะครับ”

ภรรยาสาวแสนสวยจึงเปิดเสื้อคลุมออก ฝ่ายสามีถึงกับตะลึง และร้องอุทาน

“โอ้โห้ คุณช่างสวยเหลือเกิน ให้ผมถ่ายรูปคุณได้ไหม”

“ถ่ายรูปเหรอค่ะ ” หญิงสาวถามอย่างงงงวย

“ใช่แล้วที่รัก ผมจะได้เก็บภาพความสวยของคุณไว้ในหัวใจผมตลอดไปไง”

หญิงสาวยิ้มหวานและปล่อยให้เขาถ่ายรูป จากนั้น ชายหนุ่มก็เข้าไปอาบน้ำบ้าง และ ออกมาด้วยชุดคลุม หญิงสาวจึงถามเขาว่า

“คุณจะใส่ชุดคลุมทำไมล่ะค่ะ ตอนนี้เราแต่งงานกันแล้วน๊า”

ทันทีที่ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุม หญิงสาวถึงกับร้องอุทาน

“โอ้ โอ้ โอ้ ขอชั้นถ่ายรูปหน่อยน่ะ” ชายหนุ่มยิ้มกระหยิ่ม และ ถามว่าจะถ่ายทำไม

“ชั้นจะได้เอารูปไปอัด และ ขยาย “อะไร ๆ ” ให้มันใหญ่ขึ้นได้ไง”

17/1/54

สมาคมชาวพิษณุโลก จัดงานครบ 50 ปี‏

ถึง เพื่อน ๆ ในกทม. สมาคมชาวพิษณุโลก จะจัดงานครบรอบ
50 ปี ในวันที่ 26 ก.พ. ที่สวนร่วมใจ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในกฟผ.บางกรวย
ประสานงานกับ คุณลดาวัลย์(อี้) เบอร์โทร 081-8753494 นะครับ
จาก
มนตรี


มนตรี แจ้งข่าวเพื่อนๆที่กทม.ด้วยหรือตจว.ก็ได้ว่ามีงานสมาคมชาวพิษณุโลก(กทม) ครบรอบ 50 ปี
ในวันที่ 26 กพ.2554 จัดที่สวนร่วมใจริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกฟผ.บางกรวย(ผู้ว่าฯกฟผ.คนพิษณุโลก)
บัตรละ 300.-บาท โต๊ะละ 8 ที่นั่งเราเตรียมไว้ให้ในรุ่น 3 โต๊ะเลขที่ 11-13 ถ้ายังไงส่งข่าวให้เพื่อนๆ
ทราบด้วย ถ้าต้องการเพิ่มหรือลดจำนวนก็แจ้งให้ทราบด่วนด้วยนะ

ลดาวัลย์(อี้)
ขอเพิ่มเติมรายละเอียด

ผอ.กฝผ.ชื่อ พี่ สุทัศน์ ปัทมศิริวัฒน์ บ้านอยู่ที่วังทอง เป็นลูกเจ้าของบริษัทวังทองยานยนต์
เป็นน้องชาย อดีต ส.ส. วีระ ปัทมศิริวัฒน์ (เสียชีวิตไปแล้ว)
เป็นศิษย์เก่า พ.พ. รุ่นพี่เรา ประมาณ 3-4 ปี นิสัยเป็นกันเองดีมาก

... สุรินทร์ ศรเพชร .. ครับผม

14/1/54

พระคุณครู

อันไม้เรียว คอยเคียวเข็ญ ให้เป็นผล
ศิษย์ทุกคน ต่างกล่าวขาน สะท้านหู
ศิษย์บางคน เคยลิ้มรส ไม้เรียวครู
ยืนหยัดอยู่ ดูดีได้ เพราะไม้เรียว
มือจับชอล์ก ยืนขีดเขียน เพียรพร่ำสอน
ตามขั้นตอน เพิ่มปัญญา ฉลาดเฉลียว
มุ่งปลูกฝัง ศิษย์รักใคร่ ได้กลมเกลียว
เป็นหนึ่งเดียว รู้จงรัก สามัคคี
พระคุณครู เป็นผู้ให้ ได้ทุกสิ่ง
จากใจจริง ด้วยจริงใจ ไม่หน่ายหนี
อยากให้ศิษย์ ทุกทุกคน ไปได้ดี
มีหน้าที่ มีการงาน ที่มั่นคง
ภาพของครู เป็นเรือจ้าง ไม่จางหาย
พาเราไป ได้ในสิ่ง ที่ประสงค์
เป็นกระดาษทราย คอยขัดเกลา เราอ่อนลง
ศิษย์บรรจง ขอก้มกราบ แทบเท้าครู
สุรชัย พงษ์พานิช , ๑๐ ธ.ค.๒๕๕๔

12/1/54

เป็นประธานต้องเฉียบขาด‏

เพิ่งมารับงานฟื้นฟูกิจการที่ตกต่ำของบริษัทฯ เป็นวันแรก

เขาเรียกประชุมพนักงานทันที แล้วประกาศนโยบายแรก

ซึ่งก็คือการ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน

ใครทำงานไม่เต็มที่จะต้องถูกพิจารณาอย่างเด็ดขาด

หลังการประชุม เขาออกเดินตรวจตราบริษัท พร้อมกับผู้อำนวยการอีก 6-7 คน

ความสนใจของเขาเพ่งเล็งอยู่ที่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนพิงผนังดูคนอื่นทำงานอย่าง สบายใจ

เขาเดินตรงไปที่ไอ้หนุ่มทันทีแล้วถาม

" เงินเดือนคุณเดือนละเท่าไหร่ ?"

" เจ็ดพันครับ " ไอ้หนุ่มตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

ไม่เปลี่ยนแม้แต่ท่ายืนด้วยซ้ำเขาควักเงินเจ็ดพันบาทยื่นให้ไอ้หนุ่มทันที แล้วตะโกนลั่น ...

" นี่เงินเดือนๆ สุดท้ายของคุณ แล้วเชิญคุณออกไปเลยไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก "

ไอ้หนุ่มคว้าเงินแล้วโกยแน่บทันที ในขณะที่เขาหันหลังกลับมาหา พนักงานบริษัทที่ตะลึง
กันถ้วนหน้า

ประธานคนใหม่ ตะโกนเสียงเข้ม ถามว่า ...

" ใครตอบผมได้บ้าง ว่าไอ้หนุ่มนั่นทำงานหน่วยไหน ?"

ความเงียบปกคลุมทั่วสำนักงานเป็นเวลาหลายวินาที

ก่อนที่จะมีผู้กล้าพูดออกมา

" เขามาส่งพิซซาครับ !!! "

8/1/54

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเนื่องในวาระวันขึ้นปีใหม่ว่า

“ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆคน ให้มีความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ความปรารถนาของทุกคน คงไม่แตกต่างกันนัก คือ ต้องการให้ตนเอง มีความสุขความเจริญ และให้บ้านเมืองมีความสงบร่มเย็น ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นคนไทยมีความสุขถ้วนหน้ากัน ด้วยการให้ คือ ให้ความรักความเมตตากัน ให้น้ำใจไมตรีกัน ให้อภัยกัน ให้การสงเคราะห์อนุเคราะห์กัน โดยมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกันด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ ทุกคนทุกฝ่าย จะได้สามารถร่วมมือ ร่วมความคิดอ่านกัน สร้างสรรค์ความสุข ความเจริญมั่นคง ให้แก่ตนแก่ประเทศชาติ อันเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องการให้สำเร็จผลได้ ดังที่ตั้งใจปรารถนา

ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคน ให้มีความสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีภัย ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน”

อยากมีสามีฉลาดๆแบบนี้บ้างจัง...

"นังเมียโง่"

ตอนจีบกันทีแรกก็จำได้ว่ามันฉลาดมาก นี่นา
เรียนก็สูง หน้าที่การงานก็ดี ทำไมอยู่กันไป อยู่กันมา
กลับเป็นว่าโง่ลงได้ถึงขนาดนี้
นังเมียเรานี่ยังโชคดีที่มีผัวฉลาดๆ แบบเราอยู่ข้างๆ นะเนี่ยไม่ใช่คุย
ตอนเด็กๆ สมัยประถมผมจะได้รับคำชมจากคุณครูประจำชั้นอยู่เสมอๆ
จะได้รับรางวัลเป็นประจำในวิชา คัดไทย เขียนไทย
ผมยังมีความภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้

แม้เวลามันจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม
ผมก็ยังคงเป็นคนเก่งอยู่ อันนี้ผมรู้จากนังเมียผม
เพราะผมสังเกตุเห็นนังเมียมันจะ ตบมือดังๆ แล้วก็เอ่ยปากชม ไม่ขาดปาก
ว่าเก่งยังโน้นเก่งยังนี้ เวลาผมซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว ล้างชาม
ได้อย่างยอดเยี่ยมและเสร็จทันในเวลาที่นังเมียผมมันกำหนดไว้
แถมบางครั้งยังมีเวลาเหลือพอที่จะไปล้างส้วมได้เสร็จทันเวลาอีกด้วย
ทีแรกผมก็คิดได้เองอยู่แล้วว่าผมเก่งและฉลาดมาก
ความจริงนังเมียมันไม่บอก ผมก็รู้ อยู่แล้ว
ผิดกับนังเมียผมที่นับวันจะโง่ลง
ขนาดแอร์ ทีวี ที่สมัยนี้เปิดปิดง่ายๆ มันยังทำไม่เป็น
รีโมท ตั้งอยู่ข้างหน้านังเมียมันยังใช้ไม่เป็น มือซ้ายถือมันฝรั่ง
มือขวาแก้วน้ำหวาน ปากก็บอกว่า นี่เปิดทีวีให้ดูหน่อยซิ
แอร์ด้วยนะ ซัก 23 องศา แน่ะรีโมทก็อยู่ข้างหน้าใช้ไม่เป็น
มันโง่จริงๆ ผมเคยสอนให้ใช้หลายครั้ง ก็ยังทำไม่เป็น
จนผมรู้ว่ามันสมองแต่ละคนไม่เท่ากัน
จะให้มาเป็นเลิศแบบผมทุกคนคงเป็นไปไม่ได้
เอ่อ..
แต่นังเมียผมมันก็ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้างนะ
อย่างเช่นว่า..
วันเงินเดือนผมออก นังเมียมันรู้หมดแนะแถมยังจำแม่น
บางเดือนเลื่อนออก เงินเดือนไปวันไหนวันไหน มันรู้หมดแหล่ะ
ผมยังแปลกใจโง่ๆ แบบนี้รู้ได้ไง
แต่ยังไง..นังเมียก็ไม่ฉลาดกว่าผมหรอก
มานั่งคอยจำ คอยเตือนเงินเดือน ทุกเดือนเสียเวลา
ผมเลยเอาเลขที่บัญชีของเมีย ให้บริษัทโอนเงินเข้าไปเลย
นังเมียยังชมผมไม่ขาดปากมาถึงทุกวันนี้ ฉลาดมาก ฉลาดมาก
โธ่เอ็งไม่ต้องบอกข้าก็รู้ " นังเมียหัวขี้เลื่อย "

5/1/54

เพื่อนร่วมรุ่นเสียชีวิต อีก 1 คนแล้ว‏





ถึง เพื่อน ๆ สมาชิกชมรม พ.พ.14-16
เนื่องด้วย เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2554 เวลา 11.00น เพื่อนร่วมรุ่นของเรา คุณสมเกียรติ กังวาลวัฒนศิริ(ลั้ง)
ได้ถึงแก่กรรมลง ด้วยโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง ที่บ้าน อ.คูมือง จ.บุรีรัมย์ ปัจจุบันตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่ บ้านของตนเอง
จนถึงวันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2554 กำหนดเผ่าศพในวันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2554 นี้
เพื่อนผู้ใดสนใจจะทำบุญอุทิศส่วนกูศลแจ้งความจำนงได้ที่ ผม หรือคุณอนันต์ สิทธิรุ่งโรจน์ก็ได้
ซึ่งจะได้รวบรวมเงินสบทบกับเงินกองกลางของชมรมโอน ให้กับภรรยาของคุณสมเกียรติทีเดียวเลย
จึงแจ้งมาให้เพือน ๆ ได้รับทราบโดยทั่วกัน