โครงการหลวง ป่าสนวัดจันทร์

โครงการหลวง ป่าสนวัดจันทร์
โครงการหลวงป่าสนวัดจันทร์

22/2/54




สมพงษ์ พัดจาด (sompong-pl1@hotmail.com

21/2/54

นักวิ่งมาราธอนวัย 87 ปี

....เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้ว ที่ปู่เป็งแอบย่องออกจากบ้านตอนเช้ามืด เพื่อซุ่มซ้อมวิ่งให้ร่างกายพร้อม...ส่วนจิตใจนั้นไม่ต้องห่วง...เต็มร้อยอยู่แล้วฟิตดี ไม่มีพลาด "ปู่เป็ง" จะเริ่มซ้อมตั้งแต่เวลา 4.00น.โดยวิ่งรอบสนามฟุตบอลไปเรื่อยๆ พอฟ้าสว่างจึงวิ่งออกถนนใหญ่ นับหลักกิโลฯไปจนได้ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ก็วิ่งกลับจะถึงบ้านประมาณ 10.00 น.

"ปู่เป็ง" เล่าว่า เริ่มซ้อมวิ่งช่วงแรก ๆ ...วิ่งรอบสนามฟุตบอลจนงง..จำไม่ได้ว่าวิ่งไปกี่รอบ...ต้องหาเครื่องช่วยจำ...วันรุ่งขึ้น...จึงไปแลกเหรียญบาท ใส่กระเป๋าไว้ 100 เหรียญ

วิ่งครบ 1 รอบ...ก็ล้วงเหรียญจากกระเป๋าขวา มาใส่กระเป๋าซ้าย แล้วก็วิ่งไปจนหมดเหรียญ ประมาณ 40 กิโลเมตรผลปรากฎว่า กระเป๋ากางเกงขาด เหรียญบาทตกหาย

...และตอนวิ่งยังมีเสียงเหรียญกระทบกัน..กรุ๊ง...กริ๊ง.. น่ารำคาญ..จึงเปลี่ยนจากเหรียญบาทมาใช้เม็ดมะขามแทน

นอกจากการซ้อมอย่างสม่ำเสมอแล้ว..ปู่เป็งยังรักษาสุขภาพตนเองอย่างดีเยี่ยมด้วย

"ตั้งแต่หนุ่มๆ มาแล้ว ปู่ไม่เคยกินเหล้า หรือสูบบุหรี่เลย เพราะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินอาหารตรงเวลา จะมีลูกสาวคนเล็กคอยชงโอวัลตินหรือนมเสริมแคลเซี่ยมให้กินทุกวัน " ที่สำคัญ ปู่เป็งไม่เคยตั้งอยู่ในความประมาท เพราะจะเข้ารับการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกเดือน ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช

แรงบันดาลใจ

"ปู่ไม่มีโอกาสไม่เหรียญหรอก เพราะปู่ไม่ได้เป็นนักกีฬาอายุก็มากแล้ว " คำพูดในเชิงดูถูกของหลานชายตัวเล็ก ทำให้จิตใจไม่เคยยอมแพ้ใครของปู่เป๋งฮึดสู้ขึ้นมาทันที

เนื่องจากหลานชายเป็นนักกีฬาประจำจังหวัดราชบุรี ได้นำเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬามาอวด ปู่เป็งสนใจมาก " เพราะสมัยปู่เป็นเด็กไม่มีแบบนี้ " ปู่เป็ง เล่าถึงแรงบันดาลใจครั้งแรกก่อนกระโดดลงสนามวิ่ง

และที่มีส่วนกระตุ้นให้ปู่เป๋งเลือกการวิ่งเป็นรางวัลในปั้นปลายชีวิตนั่นก็คือ...ภาพนักวิ่งจำนวนมากที่วิ่งผ่านหน้าบ้านเป็นประจำ เพราะเป็นเส้นทางที่สถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึงใช้เป็นทางผ่านในการจัดแข่งขันวิ่งมาราธอน จึงนึกสนุกด้วย

ปี 2537 ปู่เป็งจึงเดินเข้าไปเขียนใบสมัครลงแข่งขัน "จอมบึงมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร " ในรุ่นอายุ 60 ปี ขึ้นไป และวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยไม่ได้รับเหรียญรางวัลอะไรเลย...

แต่ที่แน่ๆ วันรุ่งขึ้น...ปู่เป็งไม่สบาย ปวดเมื่อยร่างกายไปหมด เหมือนกระดูกจะหลุดเป็นเสี่ยง ๆ ลูกๆ ต้องป้อนข้าวต้มอยู่หลายวัน อาการป่วยทำให้ปู่เป็งรู้ว่า ร่างกายตนเองไม่พร้อม เพราะไม่เคยเล่นกีฬามาก่อน

ดังนั้นเมื่อหายป่วย..ปู่เป็ง จึงออกวิ่งซ้อมรอบสนามฟุตบอลสถาบันราชภัฎฯทุกเช้า

ไม่เคยยอมแพ้เข้าเส้นชัยทุกครั้ง

" ผมลงสนามพร้อม " ปู่เป็ง " จำได้ว่า ตอนนั้นลงครึ่งมาราธอน ระยะทาง 21.1 กิโลเมตร วิ่งไป 10 กิโลเมตร เห็นปู่เป็งวิ่งอยู่ข้างหน้า ผมก็เร่งฝีเท้าตีเสมอ ...และวิ่งคอยอยู่ระยะหนึ่ง จึงคิดจะแซง ย่ามใจว่า ปู่อายุมากแล้ว จึงหันมาบอกปู่เป็งว่า..ไปก่อนนะปู่...แล้วผมก็วิ่งแซงขึ้นไป พอวิ่งไปอีกไม่ถึง 5 กิโลเมตร ได้ยินเสียงคนวิ่งตามหลังมา หันไปดูปรากฏว่าเป็นปู่เป็ง...แล้วปู่ก็เร่งฝีเท้าแซงผมทันที และบอกว่า..ไปก่อนนะอาจารย์ ผมก็แซงปู่ไม่ได้อีกเลย..ปู่อึดมาก ยิ่งวิ่งระยะไกลไม่มีใครสู้ได้ " เป็นคำบอกเล่าของอาจารย์ ณรงค์ เทียมเมฆ ผู้ก่อตั้งชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพของสถาบันราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง

ความมุ่งมั่นของปู่เป็ง ...เป็นสิ่งที่เยาวชนควรนำไปเป็นแบบอย่าง คือตั้งใจทำอะไรแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ ทุกครั้งที่ลงสนาม จะต้องเข้าเส้นชัยให้ได้ ไม่ว่าจะทำเวลาได้แค่ไหนก็ตาม ไม่เคยออกนอกเส้นทาง เพราะความเหนื่อยล้า ไม่เคยใช้ทางลัดเพื่อทำเวลา ไม่เคยออกนอกการแข่งขันกลางคัน

"เป็นการให้เกียรติสนาม " เป็นเหตุผลสั้น ๆ จากคุณปู่ยอดนักสู้

ปู่เป็งมีเทคนิคส่วนตัวในการวิ่งที่ไม่มีใครสอน นั่นก็คือ ท่าวิ่งที่ยกเท้าไม่สูง เลียดไปกับพื้น พัฒนามาจากการเดิน ประกอบกับรูปร่างเล็กๆ บางๆ น้ำหนักเพียง 48 กิโลกรัม กับส่วนสูง 155 เซ็นติเมตร ทำให้ร่างกายไม่ต้องรับน้ำหนักมาก จะช่วยลดอุบัติเหตุ

ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา รศ.เจริญ กระบวนรัตน์ บอกว่าการวิ่งมาราธอนของ "ปู่เป็ง " จะไม่เป็นอันตราย หากร่างกายคุ้นเคยกับการออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ และสถิติ 4 ชั่วโมงเศษๆ จากการวิ่ง 42.195 กิโลเมตร ก็ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับคนอายุมาก

คนอายุ 70 ปีขึ้นไป หากได้ออกกำลังกายเป็นประจำแล้วจะทำให้ ปอด หัวใจ หลอดเลือด กระดูก กล้ามเนื้อได้เคลื่อนไหว และแข็งแรงหนุ่มๆ บางคนสู้ไม่ได้ แต่หากหยุดไปนาน ๆ แล้ว กลับมาวิ่งอีก ถือว่าเสี่ยง รศ.เจริญให้ความรู้

รศ.เจริญ บอกด้วยว่า ปู่เป็งเป็นตัวอย่างที่ดของการออกกำลังกาย วัยเกือบ 90 ปีแล้ว ยังสามารถฟิตซ้อมร่างกายจนแข็งแรงลงสนามได้ ถือว่าเป็นคนพิเศษกว่าใคร ๆ แต่ไม่อยากให้ปู่เป็งมุ่งมั่นแข่งขันเพื่อเอาชนะจนเกินสภาพร่างกายซึ่งอาจพลาดพลั้งได้ ดังนั้นต้องคำนึงว่าร่างกายวัยนี้จะไม่แข็งแรงเหมือนหนุ่มสาว "การวิ่งออกกำลังกาย มีประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ ทำให้อายุยืนร่างกายแข็งแรง รักษาโรคบางชนิดได้โดยเริ่มวิ่งจากทีละน้อยๆ อย่าหักโหม วิ่งอย่างช้าๆ ไปเรื่อยๆ มีจิตใจที่เพลิดเพลินอารมณ์ดี ที่สำคัญที่สุด คือต้องคอยสังเกตุปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเสมอทั้งก่อนวิ่งขณะวิ่งและหลังการวิ่ง ผู้เชี่ยวชาญบอกทิ้งท้าย

อย่างปู่เป็ง หนุ่มๆ หลายคนยกมือยอมแพ้ แม้ว่าเรื่องกุ๊กกิ๊กกับคู่ทุกข์คู่ยากจะห่างหายไป...แต่วันนี้คุณปู่ ยังเคียงคู่ภรรยา นั่งดูกีฬาโปรดทางทีวี และจูงมือคุณย่าไหว้พระสวดมนต์ก่อนเข้านอนเป็นประจำทุกคืน



อากาศยามเช้าตรู่ของ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี บริสุทธิ์เย็นสบายแบบที่ชาวกรุงไม่มีโอกาสสัมผัส..."ปู่เป็ง เพิงสา" กำลังวิ่งออกกำลังกายรอบสนามฟุตบอล รอบแล้วรอบเล่า เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นภาพที่หนุ่มละแวกนั้นมองด้วยความอิจฉาในความแข็งแรง
ตามบัตรประจำตัวผู้สูงอายุระบุว่า "ปู่เป็ง" เกิด พ.ศ.2458 บวกลบแล้วตามปีนี้ คุณปู่กำลังก้าวเข้าสู่วัย 87 ปี

"ตอนที่คุณพ่อลงแข่ง "มาราธอน" ครั้งแรก เมื่อปี 2542 พวกเราใจหายใจคว่ำ เห็นหน้าซีดอาการไม่ค่อยดี บอกให้หยุดวิ่งก็ไม่หยุด มีรถพยาบาลตามท่านจนถึงเส้นชัย " กันยารัตน์ ลูกสาวคนสุดท้อง กล่าวด้วยความห่วงใย

ขณะที่คุณปู่ของเรา บอกว่า "วันนั้นที่วิ่งไม่ออก ก็เพราะความหวังดีของลูก เห็นพ่อลงแข่งครั้งแรก ซื้อรองเท้าใหม่ยี่ห้อดังให้เป็นของขวัญ ก็เลยฉลองศรัทธาลูก แต่รองเท้าทำพิษ..

ปีต่อมาก็ลงแข่งมาราธอนอีก...คราวนี้สบายมาก 42 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 4:41:51 ชั่วโมง" ปู่เป็งกล่าวพร้อมหันมองหน้าลูกสาว

"วิ่งมาราธอน ระยะทาง 42.195 กิโลเมตร ไม่ใช่ของเล่นใครที่คิดจะลงวิ่ง ต้องเตรียมตัวให้ดีทั้งร่างกายและจิตใจ ผมอายุ 40 ปี ยังไม่กล้าลงมาราธอน " สนอง ยอดครู สมาชิกชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพ สถาบันราชภัฏจอมบึง พูดถึงปู่เป็งด้วยความชื่นชม




"จอมบึงมาราธอน 2002 "

ปู่เป็ง เพิงสา ลงวิ่งมาราธอนระยะ 42.195 กม. ทำสถิติ 04:51:24 ชั่วโมง เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 7 ในรุ่น 65 ปีขึ้นไปชาย

18/2/54

คาถา 3 บทในโอวาทปาฏิโมกข์


คาถา 3 บทในโอวาทปาฏิโมกข์
วันนี้เป็นวันดี วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เป็น "วันมาฆบูชา" วันที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์" ต่อที่ประชุม พระสงฆ์สาวก 1,250 รูป ที่เดินทางมาร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายกัน และพระสงฆ์ทั้งหมดเป็น "พระอรหันต์" ที่ได้รับการอุปสมบทจาก พระพุทธเจ้า โดยตรง

ในวันมหามงคลเช่นนี้ผมจึงขอนำพระคาถา โอวาทปาฏิโมกข์ ที่ พระพุทธเจ้า ทรงแสดงต่อ พระอรหันต์ 1,250 รูป มาเล่าสู่กันฟัง มีด้วยกัน 3 บท ดังนี้

คาถาบทที่ 1 ขันติ คือ ความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย (พระพุทธเจ้ามีหลายองค์) กล่าวว่า นิพพานเป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต, ผู้เบียดเบียนคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

ความหมายของคาถาบทแรกนี้ก็คือ

1.ความอดทนอดกลั้น เป็นสิ่งที่นักบวชในศาสนานี้พึงยึดถือ และเป็นสิ่งที่ต้องใช้เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจทุกอย่างที่ต้องเจอในชีวิตนักบวช เช่น ประสงค์ร้อนได้เย็น ประสงค์เย็นได้ร้อน

2.การมุ่งให้ถึงพระนิพพานเป็นเป้าหมาย มิใช่สิ่งอื่นนอกนิพพาน

3.พระภิกษุและบรรพชิตในพระธรรมวินัยนี้ ไม่พึงทำให้ผู้อื่นลำบาก ด้วยการทำความทุกข์กายหรือทุกข์ใจ ไม่ว่าในกรณีใดๆ

4.พระภิกษุตลอดจนบรรพชิตในพระธรรมวินัยนี้ ต้องขอแก่ทายกด้วยอาการที่ไม่เบียดเบียน คือ ไม่เอ่ยปากเซ้าซี้ขอ ไม่ใช้ปัจจัยสี่อย่างฟุ่มเฟือยจนเดือดร้อนทายก

คาถาบทที่ 2 การไม่ทำความชั่วทั้งปวง 1 การบำเพ็ญแต่ความดี 1 การทำจิตของตนให้ผ่องใส 1 นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

คาถาบทนี้ถือเป็น หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา เลยทีเดียว เพื่อสอนให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เป็นการสรุปรวบยอดหลักธรรมที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติ อันได้แก่

1.การไม่ทำบาปทั้งปวง

2.การทำกุศลให้ถึงพร้อม

3.การทำจิตใจให้บริสุทธิ์

สรุปก็คือเรื่องของ ศีล สมาธิ และปัญญา นั่นเอง ใครที่ทำได้ครบถ้วนทั้ง 3 ข้อ อย่างสม่ำเสมอ ต้องถือเป็นเลิศคน และเป็นคนที่ดีเลิศจริงๆ

คาถาบทที่ 3 การไม่กล่าวร้าย 1 การไม่ทำร้าย 1 ความสำรวมในปาฏิโมกข์ 1 ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร 1 ที่นั่งนอนอันสงัด 1 ความเพียรในอธิจิต 1 นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

คาถาบทนี้เป็นการสอน พระธรรมทูต ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้ใช้วิธีการที่เหมือนกัน ไปในแนวทางเดียวกัน และมีความถูกต้อง ดังนี้

1.การไม่กล่าวร้าย (เผยแผ่ศาสนาโดยไม่กล่าวร้ายโจมตีดูถูกความเชื่อผู้อื่น)

2.การไม่ทำร้าย (เผยแผ่ศาสนาด้วยการไม่ใช้กำลังบังคับข่มขู่ด้วยวิธีต่างๆ)

3.ความสำรวมในปาฏิโมกข์ (รักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส)

4.ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร (เสพปัจจัยสี่อย่างรู้ประมาณพอเพียง)

5.ที่นั่งนอนอันสงัด (สันโดษไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ)

6.ความเพียรในอธิจิต (พัฒนาจิตใจเสมอ มิใช่ว่าเอาแต่สอน แต่ตนเองไม่ทำตามที่สอน)

พระคาถาทั้ง 3 บทใน โอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แม้ พระพุทธเจ้า จะทรงเทศนาแก่ พระอรหันต์ 1,250 รูป ที่มาประชุม แต่เนื้อหาที่ผมนำมาเล่าทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่ชาวพุทธก็สามารถปฏิบัติได้ โดยเฉพาะคนที่เป็น "ผู้นำ" ไม่ว่าจะเป็น "ผู้นำองค์กร" หรือ "ผู้นำประเทศ" ถ้านำไปปฏิบัติ ผมเชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อทุกคนคิดดีทำดี บ้านเมืองก็ต้องดีตามแน่นอน.




"ลม เปลี่ยนทิศ"

17/2/54

อำนาจของเสียงหัวเราะ


อำนาจของเสียงหัวเราะ

คนไข้รายหนึ่งป่วยด้วยโรคร้ายขั้นสุดท้าย หมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อีกไม่กี่เดือน เขาคิดว่า ไหนๆ ก็ไม่รอดแล้ว ก็น่าจะทดลองอะไรสักครั้งก่อนตาย เขาเช่าหนังตลกมาดูอย่างต่อเนื่องวันละหลายเรื่อง ไม่นานอาการป่วยไข้ก็หายไปอย่างไม่น่าเชื่อ

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเคยผ่านความตกต่ำทางสุขภาพมาแทบเอาชีวิตไม่รอดบอกผมว่า หัวเราะหนึ่งครั้งต่ออายุได้เจ็ดวัน ชีวิตมนุษย์นั้น จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว นั่นคือกินอาหารครบห้าหมู่ก็ยังไม่สำคัญเท่าจิตใจดี

ท่านยกตัวอย่างพระที่อาศัยตามป่าตามเขาล้วนมีอายุยืนทั้งนั้น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อายุ 80 หลวงปู่ดูลย์ อตุโล อายุ 96 หลวงปู่แหวน สุจิณโณ อายุ 98 ฯลฯ ล้วนเป็นพระป่าซึ่งฉันอาหารตามที่มี ไม่มีก็ไม่ฉัน ไม่จุกจิกวุ่นวาย

เมื่อดูประวัติของมนุษย์อายุยืนทั้งหลายก็พบว่ามีความเหมือนกันจุดหนึ่งคือนอกจากการใช้ชีวิตเรียบง่าย กินง่ายแล้ว ก็คือมีอารมณ์ดี หัวเราะง่าย พูดสั้นๆ คือ ไม่แบกโลกเอาไว้

ว่าก็ว่าเถอะ นี่เป็นเรื่องที่เราส่วนใหญ่รู้อยู่แล้ว แต่ปฏิบัติไม่ค่อยได้ เพราะการมีอารมณ์ดี หัวเราะง่ายในยุคสมัยแห่งความเครียดไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่เรามีทางเลือกหรือ? หากปล่อยให้ความเครียดกัดกินชีวิตไปเรื่อยๆ ต่อให้มีสุขภาพดียิ่ง วันหนึ่งก็อาจตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองเป็นโรคร้ายอันสืบเนื่องมาจากการสะสมความเครียดจนล้นปรี่



วันหนึ่งในห้วงยามที่ผมกำลังเครียด ตะกอนอารมณ์ฟุ้งกระจาย หลานสาวตัวน้อยมาเยือนพร้อมรอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะดังร่าเริง ไม่ว่าเธอหัวเราะเพราะขำอะไรมา แต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ใส่สีสังเคราะห์ ไม่เจือสารปรุงแต่งใดๆ เป็นการหัวเราะที่แม้แต่คนที่เศร้าที่สุดในโลกก็ต้องยิ้ม

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกว่า เราทั้งหลายดูจะสูญเสียความสามารถที่จะหัวเราะไปนานแล้ว บางคนนานๆ ครั้งหัวเราะทีหนึ่ง บางคนก็ไม่หัวเราะเลย

มองเด็กหัวเราะแล้ว ก็นึกได้ว่า ชีวิตคนเราไม่มีสาระอะไรนักหนา แบกโลกไว้ก็เท่านั้น ถึงคุณตายไปในวันนี้ โลกก็ไม่แตกสลาย

บางครั้งบางช่วง เราก็ต้องการให้ใครสักคนมาเคาะหัวเราให้รู้สึกตัว และการเคาะหัวที่ดีที่สุดก็คือเสียงหัวเราะนี่เอง

ขอให้ผู้อ่านทุกท่านจงสามารถหัวเราะเสียงดังได้ตลอดปีใหม่นี้นะครับ!

(ขอขอบคุณทุกท่านที่อวยพรปีใหม่ทั้งในเว็บและทางไปรษณีย์มากๆ ครับ)


วินทร์ เลียววาริณ
1 มกราคม 2554


คมคำคนคม

The most wasted of all days is one without laughter.

วันที่เสียเปล่าที่สุดคือวันที่ปราศจากการหัวเราะ

E. E. Cummings

(1894 - 1962)



Laughter is the closest distance between two people.

การหัวเราะเป็นระยะห่างที่ใกล้ที่สุดของคนสองคน

Victor Borge (1909 - 2000)

15/2/54

เรื่อง นกแก้ว‏


ชายคนหนึ่งไปซื้อนกแก้วที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง
เห็นนกแก้วตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และเคาะแป้นคีย์บอร์ดอยู่จึงเกิดสนใจถามคนขายว่านกแก้ว
ตัวนั้นราคาเท่าไหร่
ชายคนนั้น : ลุงๆไอ้ตัวนั้นราคาเท่าไหร่
คนขาย : 15 , 000 บาท
ชายคนนั้น : แล้วมันทำไรได้บ้างล่ะ
คนขาย : ก็ไม่เท่าไหร่! แค่ใช้ window,mac,unix แล้วก็พวกซอฟแวร์ office ต่างๆ
ชายคนนั้น : แล้ว ไอ้ตัวข้างๆมันล่ะ
คนขาย : 25 , 000 บาท
ชายคนนั้น : โอ้โห! อย่างนี้มันคงเขียนโปรแกรมได้ด้วยมั้ง ( หัวเราะ)
คนขาย : ก็ใช่ แถมมันยังดูแล server แล้วก็เขียนโปรแกรมจัดการกับ Database ของร้านได้ด้วยนะ
ชายคนนั้น : แล้วไอ้ตัวนั้นล่ะ ตัวที่มันนั่งเฉยๆอยู่ข้างหลังน่ะ
(ชี้ไปที่นกอีกตัว) มันทำอะไรได้บ้างล่ะ
คนขาย : ไอ้ตัวนั้นอ่ะนะ วันๆผมไม่เห็น มันทำอะไรเลย นอกจากแหกปากด่าไอ้สองตัวที่นั่งอยู่หน้าคอมอยู่นั่นแหละ ผมโคตรรำคาญมันเลยคุณ
ชายคนนั้น : แล้วมันราคาเท่าไหร่ล่ะ
คนขาย : 100,000 บาท
ชายคนนั้น : เฮ้ย ทำไมล่ะ

คนขาย : ผมก็ไม่รู้ แต่เห็นไอ้ 2 ตัวนั้น เรียกมันว่า หัวหน้า !!!

14/2/54

ขอเชิญทำบุญร่วมกัน‏

ชมรมศิษย์เก่า พ.พ. 14-16 ขอเชิญเพื่อน ๆ เดินทางไปทอดผ้าป่าร่วมกัน
ที่วัดถ้ำสันติธรรม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ใกล้ ๆ รีสอร์ทคุณวุฒิศักดิ์ วานิชน์กุล(แม้ว)
ระหว่างวันที่ 26-27 กุมภาพันธ์ พักค้างคืนที่รีสอร์ท 1 คืน สำหรับเพื่อน ๆ ที่มาจากกรุงเทพ
บางส่วนจะมีการเล่นกอล์ฟ ในตอนเที่ยงของวันที่ 26 ก.พ.ที่ อ.ปากช่อง

เพื่อนในเขตกรุงเทพประสานงานที่คุณโจ้ 081-8184986 เพื่อนเขตจังหวัดพิษณุโลกและใกล้เคียง แจ้งที่ เม้ง 086-2099599 หรือ มนตรี 081-9626506

ปิดยอดการแจ้งความประสงค์ ในวันพุธ 23 กุมภาพันธ์ 2554
จาก
มนตรี


รายชื่อเพื่อนที่แจ้งจะไปทอดผ้าป่า 26-27 ก.พ.(พิษณุโลก)


· เม้ง และภรรยา

· จ.ส.อ.อุดร และภรรยา

· สมนึก และเพื่อน 2 คน

· สุชาติ และภรรยา

· พ.ต.อ.พิษณุ และภรรยา

· มนตรี

· ประโยชน์ และสามี

· พีระพล และภรรยา

· คำแสน และภรรยา



รวมแล้ว ถึง 19 ก.พ. 54 จำนวน 18 ท่าน

รายงานความคืนหน้า...เพื่อนป่วย 2 ท่าน‏



ขอรายงานความคืนหน้าของเพื่อนร่วมรุ่นที่เจ็บป่วย อยู่ 2 ท่านดังนี้.-

คุณสันติวาส แสนคำ(เป้า) ปัจจุบันนอนพักรักษาตัว ที่โรงพยาบาลพุทธชินราช
อาคารอายุกรรม ชั้น 5 อายุรกรรมชาย 1 เตียงที่ 19 วันที่ไปเยี่ยมภรรยากำลังดำเนินการ
จองห้องพิเศษอยู่ ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนจะไปเยี่ยม โทรสอบถามล่วงหน้ากับ คุณเป้า หรือภรรยา
ก่อนก็จะดีมาก เบอร์ 089-8131236 , 086-8865360 หรือถามถามประชามสัมพันธ์ก็ได้

อีกหนึ่งท่าน คุณมนัส อินศรีชื่น นอนพักเพื่อทำกายภาพบำบัด พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลพุทธชินราชเช่นกัน
อาคารหลวงพ่อพระพุทชินราช (ใกล้ ๆ กับอาคารจอดรถยนต์) ชั้น 2 ห้องหมาลข 16 เบอร์โทรภรรยา
คุณมนัส 081-6885817 อาการโดยทั่วไป พูดคุยได้ตามปกติ เพี่ยงแต่ต้องทำกายภาพบำบัดที่ขา

ได้แนบรูปถ่าย เพื่อนทั้ง 2 ท่านมาให้ชมด้วยแล้ว สำหรับคุณเป้ายังยิ้มแย้มแจ่มใสดี บอกว่า
ที่ผ่านมารักษาตัวที่ กรุงเทพ ทำให้เพื่อน ๆ ลำบากในการไปเยี่ยม เลยมารักษาตัวที่พิษณุโลก เพื่อน ๆ
จะได้ไปเยี่ยมได้สะดวกขึ้น ส่วนคุณมนัส ช่วงนี้ต้องนอนพักผ่อนอย่างเดียวผมไปเยี่ยม หลายครั้ง
ก็เห็นส่วนใหญ่นอนหลับพักผ่อน เป้นการพักผ่อนสมองไปในตัว เพราะที่ผ่านมาใช้สมองคิดตลอดเพื่อนๆ
คนไหนว่างก็ไปเยี่ยมนะครับ ให้กำลังใจเพื่อนหน่อย ไว้เผื่อตัวเองบ้าง เพื่อน ๆ จะได้ไปเยี่ยมเช่นกัน( ฮิ ฮิ ฮิ)
จาก
มนตรี
สำหรับคุณอำนาจ ที่ส่งเมล์มาให้กำลังใจเป้าจาก usa ผมได้แจ้งให้ทราบแล้ว

11/2/54

สิ่งดีๆ สำหรับเช้าวันนี้‏



จอร์จ คอลลิน เขียน ณ วันที่ 11กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่มและ ภรรยาเขาตาย)
แปลกไหมที่ จอร์จ คอลลิน ซึ่งโด่งดังในฐานะดาราตลกจะสามารถเขียน
อะไรบางอย่างที่ซาบซึ้ง และเหมาะสมกับวันนั้น
.....นี่คือข้อความที่วิเศษ โดย จอร์จ คอลลิน.....

นี่เป็นความขัดแย้งอัน ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของเรา
เรามีตึกที่สูงเสียดฟ้าแต่อารมณ์ที่ฉุนเฉียวง่าย มีถนนที่กว้างใหญ่ แต่ความคิดที่สั้นแคบ
เราใช้จ่ายมาก แต่มีสมบัติน้อยลง เราซื้อมากแต่มีความสุขน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่มีครอบครัวที่เล็กลง
มีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่มีเวลาน้อยลง
เรามีการศึกษาสูงขึ้นแต่มีความสำนึกที่น้อยลง
มีความรู้มากขึ้น แต่มีเหตุผลน้อยลง
มีผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น และก้อมีปํญหาที่ตามมามากขึ้นยิ่งกว่า
มียารักษาโรคมากขึ้น แต่ร่างกายเราก้อปราศจากโรคน้อยลง

เราดื่มเหล้ามาก สูบบุหรี่มาก ใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวัง และ หัวเราะน้อยมาก
ขับรถเร็วเกินไป โกรธง่าย นอนดึก และ ตื่นเช้าด้วยความอ่อนเพลียทุกวัน
อ่านหนังสือน้อย ดูทีวีมาก และ สวดมนต์ภาวนา น้อยมาก
เราได้เป็นเจ้าของสิ่งของมากมาย แต่ก้อต้องสูญเสียคุณค่าของชีวิต
เราพูดมาก รักน้อยลง และเกลียดคนโน้นคนนี้บ่อยบ่อย


เราเรียนรู้ที่จะดิ้นรน เพื่อมีชีวิตอยู่แต่ไม่ได้เรียนรู้ชีวิตเลย
เราเพิ่มเวลาเข้าไปในชีวิต แทนที่จะเพิ่มชีวิตเข้าไปในเวลาที่เหลืออยู่
เราสามารถไปถึงดวงจันทร์และกลับมาโดยไม่มีอุปสรรค
แต่มีอุปสรรคมากมายที่ขวางเราไว้จากการเดินข้ามถนนไปคุยกับเพื่อนบ้านที่ย้ายเข้ามาใหม่ฝั่งตรงข้าม
เราพิชิตอวกาศ แต่ไม่สามารถพิชิตสิ่งที่อยู่ในใจเรา
เราสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดีกว่า

เราได้พยายามทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมรอบรอบตัวเราในขณะที่เราทำให้จิตใจเราสกปรกขึ้น
เราสามารถค้นพบสิ่งมองไม่เห็นเช่น อะตอม แต่ไม่สามารถค้นพบความอคติและความลำเอียงในใจเรา
เราเขียนมากขึ้น แต่เรียนรู้น้อยลง
เราวางแผนมากขึ้น แต่ประสบความสำเร็จน้อยลง
เราถูกสอนให้เร่งรีบขึ้น แทนที่จะถูกสอนให้รอคอย
เราสร้างคอมพิวเตอร์ขี้นมากมายพื่อบันทึกข้อมูล และเก็บสำเนาข้อมูลไว้เพื่ออ่าน
แต่เราพูดคุยติดต่อสื่อสารระหว่างกันน้อยลงเรื่อยเรื่อย

นี่เป็นเวลาของการกินอาหารจานด่วน และ ระบบย่อยอาหารที่ต้องทำงานช้าลงเพราะอาหารจานด่วนนั้น
นี่เป็นเวลาของผู้ยิ่งใหญ่และคนที่ไม่มีความหมายอะไรเลยบนโลก
นี่เป็นเวลาของการทำการค้าแบบเน้นทำกำไรสูงแต่ ความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีต่อกันนั้นตื้นเขิน
นี่เป็นเวลาของการทำงานหลายอาชีพเพื่อเงินมากขึ้น และก้อการหย่าร้างที่มากขึ้นตามไปด้วย
นี่เป็นเวลาของการมีบ้านที่สวยงาม แต่มีครอบครัวที่แตกสลาย
นี่เป็นเวลาของการเดินทางแบบรวดเร็ว กระดาษชำระแบบใช้แล้วทิ้ง ไม่มีศีลธรรม ความสัมพันธ์แบบชั่วค่ำคืน
คนที่มีน้ำหนักเกิน ยาที่สามารถให้คุณทุกอย่าง ตั้งแต่เสียงหัวเราะ ความเงียบ หรือ แม้แต่ความตาย
นี่เป็นเวลาที่คนจะโชว์สมบัติมากมายเพื่อแสดงออกทั้งทั้งที่ไม่มีสมบัติอะไรหลงเหลือเก็บไว้เลย
เวลาที่เทคโนโลยี่สามารถทำให้คุณได้เห็นจดหมายฉบับนี้
และเวลาที่คุณสามารถที่จะอ่านและแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้กับเพื่อนคนอื่น หรือ ลบทิ้งไป

จงจำไว้ว่า คุณควรใช้เวลาอยู่กับคนที่คุณรักให้มากมาก เพราะเวลาเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่ชั่วนิรันดร์
จงจำไว้ว่า คุณควรพูดจาอ่อนโยนให้กับลูกลูกที่หวาดกลัวคุณ ก่อนที่วันหนึ่งเขาเหล่านั้นจะโตขึ้นและจากคุณไป
จงจำไว้ว่า คุณควรกอดคนที่คุณรักด้วยความอบอุ่นบ่อยบ่อยเพราะนี่คือสิ่งที่คุณทุกคน สามารถให้กับคนที่คุณรักได้ด้วยใจ
และไม่ได้ทำให้คุณเสีย เงินแม้บาทเดียว

อย่าลืมที่จะพูด?ผมรักคุณ? ให้แฟนของคุณหรือคนที่คุณรัก
และสิ่งมากไปกว่านั้น คือ แสดงให้เขาเห็นตามคำที่คุณพูด
การกอดจูบและแสดงความ รักจะช่วยประสานความรู้สึกที่เจ็บปวดในใจของคนที่คุณรัก
เมื่อการกระทำนั้นมาจากก้นบึงของหัวใจคุณ
อย่าลืมที่จะกุมมือ และถนุถนอมความรู้สึกที่ดีดีและแสดงให้เขาเห็นว่าคุณมีความสุขกับเขาในเวลาที่คุณมีความสุข
เพราะคนคนนั้นและเวลาเหล่านั้นจะไม่ย้อนกลับมาอีก
ให้เวลากับความรักให้เวลาที่จะพูดที่จะแสดง และให้เวลาที่จะแบ่งปันความรู้สึกดีดีในใจของคุณกับคนที่คุณรัก

ชีวิตไม่ได้ถูกวัด ด้วยจำนวนครั้งของลมที่เราหายใจ
แต่ถูกวัดด้วย จำนวนครั้งที่เราลืมหายใจเพราะความดีใจต่างหาก

Knita Yeo (knitayeo@hotmail.com)

10/2/54

เรื่องของสามี ภรรยาคู่หนึ่ง‏


สามีเป็นคนไม่ดีมีเมียน้อย และอยากหย่ากับภรรยา
แต่ว่าภรรยาเป็นภรรยาที่แสนดี
ไม่เคยปฏิบัติตนบกพร่องจากการเป็นภรรยา
ที่ดีเลยสักครั้งเดียว
ฝ่ายสามีอยากฟ้องหย่ามากแต่ไม่ร ู้จะฟ้องเรื่องอะไรดี
สุดท้ายแล้วสามีก็หาเรื่องฟ้องจนได้
โดยฟ้องว่าภรรยามี จิ๋มเป็น สีเขียว ดำ
แล้วสามีไม่ชอบก็เลยจะฟ้องหย่า
เรื่องไปถึงต้องขึ้นศาล
ทนายของฝ่ายภรรยาก็บอกว่าจะขอไปหา
พยานหลักฐานก่อนเพื่อที่จะสู้คดี
ในวันรุ่งขึ้น
ทนายของฝ่ายภรรยาก็กลับไปคิดที่บ้าน
แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกจนเหลือบไปเห ็นไข่ฟ องหนึ่ง
ทนายคนนั้นก็คิดออกและนำไข่ฟองนั้นไป
ขึ้นศาลด้วยในวันรุ่งขึ้น
เมื่อผู้พิพากษาเปิดศาลและให้ทนายฝ่าย
ภรรยาออกมาว่าความ
ทนายคนนั้นก็ขว้างไข่ใบนั้นใส่เบ้าตา
ของผู้พิพากษาไปเต็มๆ
จนตาของผู้พิพากษาบวมเขียวช้ำ
ผู้พิพากษาโกรธและตะโกนถามออกไปว่า


ผู้พิพากษา : ทำไมเจ้าขว้างไข่มาใส่ตาของข้า



ทนาย : ท่านผู้พิพากษาคิดดูละกันว่า
นี่ขนาดตาของท่านโดนไข่กระแทกแค่ใบ
เดียวภายในไม่กี่นาที
ตาของท่านยังเขียวช้ำขนาดนี้ แล้ว จิ๋ม
ของของฝ่ายภรรยาล่ะ โดนไข่กระแทกตั้งสอง
ใบในระยะเวลา 10 ปีจะไม่ให้มันเขียวดำได้อย่างไรครับท่าน
ผู้พิพากษา : ยกฟ้อง

จักรพงษ์ วีระมาชาteana2007@hotmail.com

คุณสันติวาส แสนคำ(เป้า)




คุณสันติวาส แสนคำ(เป้า) ปัจจุบันป่วยไม่ค่อยมีแรง ปัจจุบันพักรักษาตัวที่บ้านพักครู ของวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร และภรรยา(คุณมด)พามารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกฏเป็นระยะๆ เพื่อนๆ ขอเป้นกำลังใจช่วยขอให้เพื่อนเป้าหายไว ๆ นะครับ เพื่อนคนไหนจะโทรให้กำลังใจ หรือสอบถามสามารถโทรได้ที่ภรรยา(คุณมด) 086-8865360 หรือจะโทรคุณกับเป้าโดยตรง 089-8131236
ตามรูปที่ไปเยี่ยมเพื่อน เมื่อ 9 ก.พ.มีคุณสมนึก,คุณสมเกียรติ,พ.ต.อ.พิษณุ และผม

9/2/54

ขอเชิญทำบุญทอดผ้าป่า วันที่ 26-27 ก.พ.54

ข่าวประชาสัมพันธ์ มีกิจกรรมทำญร่วมกัน และขอเชิญชวนเพื่อน ๆ ชมรม ในวันเสาร์ที่ 26-วันอาทิตย์ที่ 27 ก.พ.54
1.ขอเชิญเพื่อน ๆ ร่วมทำบุญทอดผ้าป่าร่วมกัน ในวันอาทิตย์ที่ 27 ก.พ.ที่วัดถ้ำสันติธรรม อ.ปากช่อง เพื่อเป็นทุนในการสร้างพระประธานประจำวัด โดยมีคุณวุฒิศักดิ์ วานิชกุล(แม้ว) เป็นประธาน
2.คุณวัชระ ภุมรินทร์ (โจ)ขอเชิญเพื่อนๆ ที่ได้เดินทางไปทอดผ้าป่า ที่เล่นกอล์ฟ จึงขอเชิญเล่นกอล์ฟร่วมกันวันวันเสาร์ที่ 26 ก.พ.ที่สนามกอล์ฟแถวๆ อ.ปากช่อง ในตอนเที่ยง เล่นเสร็จแล้วเข้าพักค้างคืนที่รีสอร์ทของคุณแม้ว และตอนเช้าก็ได้ไปทอดผ้าป่าร่วมกันกับคณะของเพื่อนๆ
สำหรับการประสานงาน เพื่อนในกรุงเทพประสานงานแจ้งความประสงค์ได้ที่คุณวัชระ (โจ) โทร.081-8184986 และเพื่อน จังหวัดพิษณุโลก และใกล้เคียง แจ้งความประสงค์ได้ที่คุณอนันต์(เม้ง) 086-2099599 หรือคุณมนตรี 081-9626506

8/2/54

พ่อครับ...ขอยืมตังค์ 200‏

เสร็จจากงาน ถึงบ้าน
เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว เขาเดินเข้าบ้าน
ที่ดูเงียบเหงา เนื่องจาก ภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย

ทิ้งลูกชายคนเดียวไว้ กับเขาให้หา เลี้ยงลูกตามลำพัง
ดีว่าเจ้าหนูน้อยพอจะช่วยตัวเองได้บ้าง
อาหารก็กิน อาหารปิ่นโต ที่ผูกประจำ หากินเองได้
ทำให้ ไม่เป็นภาระมากมาย นัก

เข้ามาในบ้าน เหงื่ออาบแก้มยังไม่ทันได้พัก ผู้เป็นพ่อ
เห็นหน้าลูกชายวัยซน ที่รอรับเอ่ยปาก ทัก

" พ่อครับวันนี้ทำงานเหนื่อยมั้ยครับ "

" เหนื่อยสิ ลูกแล้ววันนี้ทำการบ้านเสร็จ แล้วเหรอ "
ผู้เป็นพ่อตอบเนือยๆ พร้อมกับ ถาม ต่อ ด้วยความเคยชิน

" เสร็จหมดแล้วครับ คือ ผม มีเรื่องบางอย่างอยากจะถามพ่อน่ะ พ่อว่างหรือยังครับ "
ลูกชายตัวน้อย ถาม ต่อ

''เดี๋ยวพ่อจะไปอาบน้ำ หาข้าวกินข้าวซัก หน่อย
แล้วคงจะเข้านอนวันนี้เหนื่อย เหลือเกิว่าแต่แก จะถามอะไรพ่อเหรอ "

ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

" คือผมอยากรู้ ว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันละเท่าไรครับ "

ลูกชาย ถามด้วยน้ำ เสียงใสซื่อ

เค้าหันมามองหน้าลูกชาย พร้อมกับ ขมวดคิ้วด้วย ความสงสัย
แล้วผู้เป็นพ่อ แต่ก็ตอบไปว่า

" วัน ล่ะ สี่ร้อย "

" งั้นผม ขอยืม ตังค์ พ่อ ซักสองร้อยได้ มั้ยครับ "

ลูกชายตัวน้อยเอ่ยปากด้วยสายตาวิงวอน

" หา แกว่าไง นะ "

ผู้เป็น พ่อ ขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ฃ

ก่อนที่จะ หันมา พูดกับ ลูกชายด้วยเสียงเข้มขึ้น กว่าเดิม

" นี่ฟังนะ แกคิดว่า เงินทอง หาได้ง่ายๆ เหรอ กว่าพ่อจะได้เงิน สี่ร้อย บาท
ต้องทำงานเหนื่อยตั้งแต่เช้ายันค่ำแต่พอกลับมาถึงบ้า นเจอแกรอขอยืมเงิน
พ่อง่ายๆแบบนี้นี่นะแกลองไปคิดดูให้ดี สิว่าแกทำประโยชน์อะไรให้พ่อบ้าง
พ่อถึงจะต้องให้ เงินสองร้อยนี่ให้แก ยืม "

เด็กชายยืนนิ่ง มองหน้าพ่อ ไม่มีเสียงหลุดออก จาก ปาก
แต่น้ำตาไหลซึม ลงอาบร่องแก้มทั้ง สองข้าง
ก่อนที่จะหัน หลังเดินกลับห้อง ตัวเอง อย่างซึมเซา

หลังจากอาบน้ำเสร็จ แวะเข้าครัว หาข้าวปลากินเรียบร้อย
เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ เดินไป ที่ ระเบียง ความรู้สึกเคร่งเครียดที่ได้ รับ
มาจากงานนอกบ้าน เริ่มผ่อนคลาย คิดไป ถึงอดีตที่ผ่านและงานที่ทำมาทั้งวัน
แล้วก็ ย้อน กลับคิดไปถึงลูกชายตัวน้อยลูกเป็นเด็กดี
ไม่เคยเกเร ไม่ เคยเอ่ยปากขอเงิน เพิ่มนอกจากเงินค่าขนม ที่เขาให้
ประจำวันเท่านั้น แต่วันนี้ทำไม ถึงเอ่ยปากยืมเงินเมื่อสักครู่
เขา เหนื่อยเกินไป หรือเครียดเกินไปหรือป่าว

ถึงได้ใช้อารมณ์กับ ลูกไปอย่างนั้น เมื่อได้คิด เขาดับ บุหรี่
แล้วเดินไปที่ห้องลูกชายไฟในห้องนอนดับแล้ว
เมื่อเปิดประตูเข้าไปเอื้อม มือเปิดไฟในห้อง หนูน้อยนอนตะแคง
หน้าตายังคงลืมจ้องมองมาที่ประตูแก้มที่แนบกับหมอน ชุ่มด้วย น้ำตา
พร้อมเสียงสะอื้นเบาๆอยู่คน เดียว

เขาเดิน ไปนั่งที่ขอบเตียงมือลูบผม ลูกชายเบาๆ พร้อมกับ
เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเครือ จุกคอ

" พ่อขอโทษนะลูก เมื่อกี้ พ่อเหนื่อยมามากเลยใช้อารมณ์ กับลูกมากไปหน่อย
จริงๆตะกี้พ่อไม่ได้ถามลูกด้วยซ้ำว่า ลูกอยากยืม เงินพ่อไปทำไมลูกอาจจะมี
เหตุจำเป็นที่จะ ต้องใช้เงินก็ได้ เงินแม้ว่าจะหาได้ลำบาก
ไม่ได้ได้มา ง่ายๆ แต่ถ้าลูกมีเหตุผลเพียงพอ พ่ออาจจะให้ยืม ก้อ ได้ เพราะว่า ลูก
น่ะสำคัญสำหรับพ่อเหนือ สิ่งอื่นใด และพ่อรักลูกจ้ะ "

" ว่าแต่ ไหน ลูกลองบอกพ่อสิว่า ลูกอยากยืม เงินสองร้อยไปทำ อะไร "

ผู้เป็นพ่อถามลูกชายที่มอง
หน้าพ่อนิ่ง ด้วยน้ำเสียงปราณี เต็มเปี่ยมด้วยความ รัก

ลูกชายตัวน้อย ส่งเสียงสะอื้นจากลำคอ

" พ่อครับ ตั้งแต่แม่ ตาย ผมเห็นพ่อต้องทำงาน
หนักเพื่อหาเงินทุกวัน จนไม่ได้พัก ไม่ได้อยู่กับผม เลย เราแทบ
ไม่มีเวลาได้อยู่ด้วย กัน
ผมเลย ค่อยๆเก็บค่าขนมของผมไว้ ตลอดมาจนถึงตอน
นี้ผมเก็บได้สองร้อยบาทแล้ว แต่พอผมรู้จากพ่อ ว่า
พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันล่ะสี่ร้อยผม จึงอยากยืมพ่อเพิ่มอีกสองร้อย
ให้เป็นสี่ร้อยเพื่อจะได้ใช้เป็นค่าจ้างให้พ่อได้พัก
ได้อยู่กับผม ซักวันนึง ครับ "

เงินทอง อาจจะจำ เป็น ต่อการดำรงชีวิต
แต่ ครอบครัว ยังคงต้องการ ความรัก ความ อบอุ่น และ
เวลาที่มีให้ แก่กัน

>" อย่าห่วงงานจนลืม ครอบ ครัว และ คนที่คุณ รัก ''
จาก
teana veeramacha (teana2007@hotmail.com)

7/2/54

กิจกรรมต่าง ๆ ในรอบปี 2553














-งานสงกรานต์ประจำปี
-การประชุมเป็นระยะ ๆ
-ไปที่ยวพักผ่อนรีสอร์ท dragon hill อ.ปากช่อง
-ทอดผ้าป่าที่ จ.มุกดาหาร
-ไปเที่ยวที่สวนป่าแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
-จัดงานราตรีสองแคว

6/2/54

เป็นห่วงนะ 12 ข้อที่แนะนำ













จาก พงศ์พันธ์ วังซ้าย

ภาพสวย ๆ จากนก






นกเอ๋ยนกน้อย

เจ้าค่อยค่อย เติบโต เพื่อโผผิน

เมื่อปีกกล้า ขาแข็ง ได้แรงบิน

ไปทั่วถิ่น ท้องนภา น่าสบาย

4/2/54

เพื่อนชมรมกทม.สังสรรค์






เพื่อนชมรมศิษย์เก่า ที่กรุงเทพสังสรรค์กันเมื่อ วันที่ 28 มกราคม 2554 ที่สโมสรสนามกอล์ฟกองทัพบก
โดยมีประธานชมรมมาสังสรรค์ด้วย(ท่านรองบุญส่ง เตชะมณีสถิย) และเพื่อน ๆ อีกหลานคนดูตามรูปที่ถ้ายจากกล้อง
ของคุณอนันต์ และคุณพงศ์พันธ์ ซึ่งจากการได้ข้อมูลจากคุณอนันต์ ขอแจ้งข่าวให้เพื่อน ๆ ทราบดังนี้

สำหรับการจัดสร้างวัตถุมงคล ยังคงเจตนาเดิม โดยจัดสร้างเป็นเหรียญ ด้านหน้าเป็นรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ด้านหลังเป็นรูปพระนารายณ์เหยียบโลก จำนวนจัดสร้าง 10,000 เหรียญ จำหน่ายเหรียญละ 99 บาท
ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 3 เดือน สำหรับทุนในการดำเนินการครั้งนี้ ทานรองบุญส่งจะเป็นคนรับผิดชอบ
ในการระดมทุน สำหรับการปลุกเสกจะมีรายละเอียดอีกเพิ่มเติม ซึ่งจะแจ้งข่าวคราวให้ทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป

อีก 1 ประเด็นคือ ในวันเสาร์ที่ 26-อาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ ขอเชิญเพื่อน ๆไปร่วมทอดผ้าป่าทำบุญร่วมกันที่
วัดป่าถ้ำสันติธรรม ปากช่อง โคราชติดกับรีสอร์ทของเพื่อนแม้ว เพื่อระดมทุนในการจัดสร้างพระประธาน รายละเอียด
จะเชิญชวนอีกครั้งหนึ่ง ในเขต กทม.คงประสานที่คุณโจ้ กับคุณตุ้มเหมือนเคย และในจังหวัดพิษณุโลก
กำลังคิดอยู่งว่าจะให้ใครเป็นคนประสานการไปทำบุญครั้งนี้ ซึ่งจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
และท้ายนี้ ได้มี สารจากคุณพงศ์พันธ์ วังซ้ายที่ได้ไปสังสรรค์มาแจ้งให้เพื่อด้วย

สำหรับเพื่อน ๆ ที่รับราชการ จากที่ผมทราบขอแจ้งให้เพื่อน ๆ ทราบต่อไปคือ คุณกุลดิลก แก้วประพาฬ
ได้ย้ายไปรับราชการ ที่ อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานเกษตรกร สำนักงานอยู่ที่ศาลากลางจังหวัด
และอีกหนึ่งท่านคือ พ.ต.อ.อดิศร อินสด ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการจังหวัดอุตรดิถย์ และคนที่จะได้ย้าย
ต่อไปคือ คุณณชพัฒน์(กิจจา) เทียนไพโรจน์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งธนารักษ์ จ.มุกดาหาร แต่เจ้าตัวแจ้งกับผมว่า
อาจจะได้ย้ายเร็ว ๆ นี้แน่นอน เพราะอยู่ที่เดิม 6-7 ปีแล้ว ครบวาระมานานแล้ว
จาก
มนตรี ศรีภิรมย์

1. เพื่อนที่ กทม. สังสรรค์ อาหารเย็นศุกร์ 28 มกราคม 2554 สถานที่ สโมสรสนามกอล์ฟ ทบ. บางเขน
เพื่อแจ้งให้เพื่อนที่พิษณุโลกทราบ และมีท่านว่าที่ สส.เม้ง ผบ ทบ. และลูกชายเป็นพลขับมาให้ เป็นตัวแทนเพื่อนพิษณุโลกครับ
ส่วนภาพที่ 14 เป็น ท่าน ผบ ทบ. ของคุณสัมฤทธิ์ อิ่มอก ออกมาหาเสียง อยากให้ สามีเป็น สว. กับเขาบ้าง เพราะเห็นสามีนั่งยิ้มอย่างเดียว เกรงว่าคะแนนจะไม่มา ..........555555

2. คุณโจ-วัขร ฝากแจ้งมาว่าขอเชิญเพื่อนๆ(พิเศษที่สุดคือเพื่อนที่พิษณุโลกอยากให้มาแจมด้วยกันอีก)มาพบปะสังสรรค์ประจำเดือน กุมภาพันธ์ ที่รีสอร์ท ท่านแม้ว-ดรากร้อนฮิว และคุณโจแจ้งมาว่าจะพาเพื่อนๆไปวัดป่าถ้ำสันติธรรม ใกล้รีสอร์ท ประมาณ เสาร์ ที่26 กุมภาพันธ์ รายละเอียดคุณโจ จะประสานมาอีกครั้ง สองครับนะครับแต่ระวัง การติดต่อของแกนะครับ ส่งมามีแต่ภาษาอังกฤษครับเพราะเครื่องมือหากินของแกพิมพ์ไทยไม่ได้(แกซื้อของนอก มันไม่ยอมให้พิมพ์ไทย ......55555 วันหลังก็บอกเพื่อนด้วยว่าใครที่ชอบกลับดึก หากส่งข่าวให้แม่บ้าน แม่บ้านจะรู้ว่าสามีเขียนมาหาแต่อ่านไม่ออก เพราะนึกสามีชอบชมเมียตัวเอง ที่ไหนได้ขอต่อเวลาอยู่ ...... ชิมิ..ชิมิ เพื่อนที่สนใจอยากได้เครื่องมือหากินแบบแก ก็ติดต่อกันเอาเองนะครับเพราะแกจะสอนเทคนิคให้ด้วย .....55555)

3. ไม่ทันได้ถ่ายรูปท่านประธาน ชวลิต และคุณอี้-ลัดดาวัลย์ เพราะท่านติดภาระกิจ กลับบ้านก่อนเวลาอันควร......เลยพลาดการถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน

พงศ์พันธุ์ ครับ

2/2/54

3x8 = 23??? ท่านเอวี๋ยนหุย & ท่านขงจื้อ‏

3 x 8 = ?????

เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า


จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”

คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ

ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”




เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”


เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น


เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว

พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่

ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้น
ล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง

พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่

จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”

ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก

หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”

เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ

ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”


จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)

ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง? เช่นกัน

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”


เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม


ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)


ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด


ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด

พิษณุ รักการศิลป์ (p_rakkarnsin@hotmail.com